RSI (Relative Strength Index) หรือดัชนีความแข็งแกร่งเชิงสัมพัทธ์ เป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ช่วยให้นักเทรดวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำ โดย RSI ใช้ในการวัดระดับความแรงของแนวโน้มและระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ของตลาด ค่า RSI ถูกคำนวณจากการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ และแสดงผลเป็นค่าในช่วง 0 ถึง 100

การตีความ RSI สามารถทำได้หลายวิธี โดยทั่วไป RSI มีค่าที่นักเทรดใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้:

• RSI เกิน 70: แสดงถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าราคามีโอกาสปรับตัวลง
• RSI ต่ำกว่า 30: แสดงถึงภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น

RSI ช่วยในการหาสัญญาณซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น:

• สัญญาณซื้อ: เมื่อ RSI ลดลงต่ำกว่า 30 แล้วปรับตัวกลับขึ้นเหนือ 30 เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น
• สัญญาณขาย: เมื่อ RSI สูงกว่า 70 แล้วปรับตัวลงต่ำกว่า 70 เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง

เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ RSI มักถูกใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น MACD หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) นักเทรดสามารถใช้ RSI ในการยืนยันสัญญาณการซื้อขายจากเครื่องมืออื่น ๆ ซึ่งช่วยในการกรองสัญญาณที่ผิดพลาด

RSI มีข้อดีและข้อเสียที่นักเทรดควรพิจารณา:

• ข้อดี: ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปได้ง่าย ทำให้สามารถหาจังหวะเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ข้อเสีย: RSI อาจให้สัญญาณที่ผิดพลาดในช่วงที่ตลาดไม่มีแนวโน้มชัดเจน การใช้ RSI ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อความแม่นยำที่สูงขึ้น

RSI เป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มและภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป นักเทรดสามารถใช้ RSI เพื่อระบุสัญญาณซื้อขายและจังหวะในการเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ