บทนำ

เฟดได้รักษาอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2008 และขยายขนาดงบดุลให้มากกว่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ผ่านการซื้อสินทรัพย์สามครั้ง ในช่วงหกปีที่ผ่านมา สภาพคล่องหลายล้านล้านดอลลาร์ที่เฟดใส่ลงในตลาดการเงินได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อราคาทองคำ การประกาศถอนการซื้อสินทรัพย์อย่างเต็มที่จากเฟดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวอย่างเรียบร้อย การฟื้นตัวของดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเป็นการยืนยัน แต่กลับอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อทองคำ

ปัจจัยที่มีผลต่อทองคำในอนาคต

เนื่องจากตลาดได้ปรับตัวรับข่าวการลดการซื้อพันธบัตรจากเฟดไปแล้ว คาดว่าตลาดทองคำและเงินจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังต่อไปนี้:

ก. ความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อจะมีผลกระทบ หากเบอร์นันเก้ประกาศว่าแม้อัตราการว่างงานลดลงถึง 6.5% แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อยังคงไม่ถึงเป้าหมายที่ 2.5% เฟดจะรักษานโยบายดอกเบี้ยต่ำต่อไป ดังนั้น ตลอดช่วงนี้ ตลาดโลหะมีค่าอาจจะเฝ้าจับตาการเผยแพร่ข้อมูลอัตราเงินเดือนส่วนบุคคลของสหรัฐฯ หากข้อมูลนั้นสูงขึ้นและแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังมีแนวโน้มสูงขึ้น อาจสร้างข่าวดีสำหรับราคาทองคำ แต่ความเป็นไปได้ที่อัตราการว่างงานจะลดลงอาจนำไปสู่ความหวังว่าเฟดจะสิ้นสุดนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งอาจทำให้ตลาดทองคำและเงินมีความตึงเครียด การกลับไปทดสอบระดับต่ำที่ 879.55 ดอลลาร์ในเดือนเมษายน 2009 ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าข้อมูลเศรษฐกิจในปีหน้าอ่อนตัวอีกครั้ง ย่อมนำไปสู่ QE4 หรือมาตรการผ่อนคลายทางการเงินมากมายจากเยลเลน ทองคำและเงินจะได้รับประโยชน์เมื่อดอลลาร์รั่วไหล

ข. สถานการณ์ทองคำจริงในจีน

เนื่องจากรัฐบาลอินเดียต้องการจำกัดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ต้องลดการนำเข้าทองคำ จีนจะมีบทบาทเป็นประเทศผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำที่อยู่ในระดับต่ำจะทำให้ผู้บริโภคชาวจีนไม่รีบร้อนในการซื้อทองคำ ทำให้ตลาดทองคำในจีนอาจไม่สามารถรองรับราคาทองคำในระยะกลางถึงยาวได้ หากไม่มีการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อในจีนหรือการฟื้นคืนของเงินทุนใน ETF ทองคำ

ค. ผลกระทบต่อราคาทองหากราคาพังลงต่ำกว่า 1000 ดอลลาร์

หากราคาทองคำตกลงต่ำกว่า 1000 ดอลลาร์ คาดว่าผู้ผลิตทองคำจะเพิ่มการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงในตลาดล่วงหน้าเพื่อรักษาผลกำไร ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำถูกตรึงให้ต่ำลง แต่หากผู้ผลิตสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้และสามารถตั้งอยู่เหนือระดับ 1000 ดอลลาร์ได้ ผู้ผลิตที่จัดการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงระหว่างระดับ 1200 ดอลลาร์จะมีโอกาสตัดการทำธุรกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับราคาทองคำ