ที่มาของ Bollinger Bands

Bollinger Bands ประกอบไปด้วยเส้นสามเส้น คือ เส้นบน เส้นกลาง และเส้นล่าง ซึ่งในที่นี้จะไม่อธิบายเพิ่มเติม K-line มีแนวโน้มในดัชนีนี้ทั้งหมด 4 สถานะ ได้แก่ 1. K-line อยู่ระหว่างเส้นกลางและเส้นบน 2. K-line อยู่เหนือเส้นบน 3. K-line อยู่ระหว่างเส้นกลางและเส้นล่าง 4. K-line อยู่ต่ำกว่าเส้นล่าง

สถานะที่ 1: K-line อยู่ระหว่างเส้นกลางและเส้นบน

แนวคิดการซื้อขายในจุดนี้คือใช้เส้นกลางเป็นหลัก เส้นกลางมีบทบาทในตลาดว่าเป็นแนวโน้ม ตราบใดที่ราคา K-line ไม่ต่ำกว่าเส้นกลาง สถานะนี้จะรักษาต่อไปให้เส้นกลางเข้าใกล้ K-line อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จุดขาย (ทำกำไร) จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ต่ำกว่าเส้นกลางและเส้นบน กำไรก็จะขยายต่อไป นี่คือวิธีที่สามารถทำกำไรได้มาก

จุดซื้อ

จุดซื้อคือเมื่อ K-line ขึ้นจากต่ำกว่าเส้นกลาง โดยที่ MACD อยู่ในกระบวนการ Golden Cross เมื่อ K-line ทะลุเส้นกลางไปแล้ว จะมีสองสถานการณ์เกิดขึ้น สถานการณ์แรกคือวันหนึ่งมันอาจจะต่ำกว่าเส้นกลาง สถานการณ์ที่สองคือทะลุเส้นบน หากสถานการณ์แรกเกิดขึ้นคุณต้องขายทันที แต่ถ้า K-line ยืนอยู่เหนือเส้นบนแล้ว แสดงว่าสถานการณ์ที่สองเกิดขึ้น คุณจะต้องรอดูเมื่อไหร่ที่จะต่ำกว่าเส้นบน

สถานะที่ 2: K-line อยู่เหนือเส้นบน

เมื่อเปลี่ยนจากสถานะแรกไปยังสถานะที่สอง จะทราบได้ว่าเกิดจุดขาย จุดขายสูงนี้คือสิ่งที่ต้องทำเมื่อ K-line ทะลุเส้นบน กรุณารักษาการถือครองที่แน่นหนา เพราะ K-line จะต้องต่ำกว่าเส้นบนในวันใดวันหนึ่ง แต่ว่าทำไมต้องขาย? ทำไมถึงไม่รอให้ต่ำกว่าเส้นกลาง? เนื่องจากเมื่อ K-line ยืนอยู่เหนือเส้นบนแล้ว หากมันต่ำกว่าเส้นบนถึง 80% จะมีโอกาสภัคอาการลดลง การเลือกคือการขายที่สูงก่อน หากรอให้ต่ำกว่าเส้นกลางจริง ๆ กำไรจะลดลงไปมาก

สถานะที่ 3: K-line อยู่ระหว่างเส้นกลางและเส้นล่าง

การซื้อไม่เหมาะสมในสถานะที่สาม คือโอกาสในการทำ Short เมื่อ K-line ต่ำกว่าเส้นกลาง ถือว่าเป็นแนวโน้มขาลง

สถานะที่ 4: K-line ต่ำกว่าเส้นล่าง

อย่าหยุดขาดทุนโดยไม่คิด หากสัญญาของคุณอยู่ในสถานะที่สี่ อาจจะอยู่ในสภาพที่จัดการไม่ได้ ต้องจำไว้ว่าหากเกิดสถานะที่สี่ขึ้นมา อย่าหยุดขาดทุนโดยไม่คิด แม้ว่าจะขาดทุนก็ต้องรอให้ K-line ยืนอยู่ที่เส้นล่างเป็นการหดตัวกลับแล้วขาย ในการหดตัวกลับนี้ให้ใกล้เคียงกับเส้นกลางในการขาย เพื่อที่จะขาดทุนน้อยที่สุด